TANATORN

สาหร่ายเกลียวทอง

Picture
คุณหรือคนที่คุณรักมีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง เบาหวาน โรคหัวใจ โรคตับ กระเพาะอาหาร คลอเลสเตอรอลในเลือดสูง ฯลฯ หรือไม่
เราขอแนะนำผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพสาหร่ายเกลียวทอง TUL

VDO สาหร่ายเกลียวทอง

ตอนที่ 1 ตอนที่ 2
ตอนที่ 3 ตอนที่ 4
 
ตอนที่ 5  

ผู้ที่ควรรับประทานสาหร่ายเกลียวทอง

ที่มาของสินค้า สาหร่ายเกลียวทอง TUL

ท่ามกลางขุนเขา ของจังหวัดเชียงใหม่ มีอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีที่ 30 องศาเซลเซียส ในขณะที่ ระดับอุณหภูมิเหมาะสม ต่อการเจริญเติบโตของสาหร่าย อยู่ที่ 25-35 องศาเซลเซียส และยังเป็นพื้นที่ที่ปราศจากมลภาวะ อากาศบริสุทธิ์ น้ำที่ใช้ในขั้นตอนการผลิตและบ่อเพาะเลี้ยงมาจากแหล่งน้ำที่ได้รับการตรวจสอบและยอมรับจากการประปานครหลวงว่า เป็นน้ำสะอาดคุณภาพระดับน้ำดื่ม

 

Picture
กระบวนการผลิตได้มาตรฐานทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเพาะเลี้ยง การเก็บเกี่ยวทำโดยการกรองน้ำออก ทำให้แห้งด้วยการอบที่อุณหภูมิ 70 C บดเป็นผง อัดเม็ดหรือบรรจุแคปซูลภายในห้องปลอดเชื้อ วิเคราะห์คุณค่าทางอาหาร และตรวจหาโลหะหนักอย่างสม่ำเสมอภายใต้การรับรองของสำนักงานคณะกรรมการอาหาร และยา

 

Picture




สาหร่ายเกลียวทอง เป็น อาหารเสริม ที่ให้คุณค่าทางอาหารสูง ทั้งยังเป็น ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ ที่มนุษย์ใช้เป็น อาหารอย่างปลอดภัยมานานนับพันปี นอกจากนี้จากผลงานวิจัยของ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ยืนยันว่า ” ไม่มีพืชชนิดใด ที่มีความหลากหลายในคุณค่าทางโภชนาการเท่ากับสาหร่ายเกลียวทอง ” และ ในการ ประชุมเรื่อง อาหารโลกขององค์การสหประชาชาติ เมื่อปี พ.ศ.2517 ได้มีการประกาศว่า “สาหร่ายเกลียวทอง เป็น อาหารที่ดีที่สุดสำหรับอนาคต ในประเทศไทย ได้มีการค้นพบสาหร่ายเกลียวทองสายพันธ์ไทย โดยเริ่มจากการ วิจัยครั้งแรกในปี พ.ศ.2526 และได้เริ่มทดลองเพาะเลี้ยง ในปี พ.ศ.2531 ณ. บุญสมฟาร์ม อ.แม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ ผ่านขั้นตอนการคัดสรร และกรรมวิธีการผลิตที่ได้ มาตรฐาน ISO22000 GMP HACCP จากฟาร์ม ที่อยู่ในแหล่งธรรมชาติ ปราศจากมลภาวะ ซึ่งทำให้สาหร่ายเกลียวทอง สายพันธ์ไทยได้รับการยอมรับว่า “เป็นสายพันธ์ที่ดีที่สุด และเป็นอาหารเสริมที่คุณประโยชน์ สูงสุด

Picture

 

Picture
ชื่อของคนทั้งสองนี้คือ สามี กับ ภรรยา ซึ่งน่าจะถือได้ว่าเป็น คู่สามีภรรยาที่ไม่ ธรรมดา จากผลงานที่ทั้งคู่สร้างขึ้นมาและกลายเป็นผลงานที่ต้องยอมรับว่าเป็น ความภาคภูมิใจของคนไทย ทั้งประเทศทีเดียวทั้งสองคน ร่วมแรงร่วมใจกันผลิตสิ่งที่คนอื่นๆนับล้านๆคนทำไม่ได้ และสิ่งที่เขาทั้งสองร่วมกันสร้างขึ้นมานั้น แม้จะเรียกว่าเป็นความมหัศจรรย์ไม่ได้ แต่ก็เป็นผลผลิตที่ท้าทายงานวิจัยทางการแพทย์อย่างมากทีเดียว สิ่งนั้นคือ สาหร่ายเกลียวทองสาย พันธุ์ไทย ผู้ค้นพบและทำการวิจัยเป็นผลสำเร็จ คือ คุณเจียมจิตต์ บุญสม นักวิชาการประมงผู้มีบทบาทสำคัญยิ่ง และเป็นผู้แปลหนังสือสำคัญเล่มหนึ่งชื่อ ” ความลับของสาหร่ายเกลียวทอง” ให้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติจัด พิมพ์จำหน่ายเมื่อหลายปีมาแล้ว และเป็นการบังเอิญที่ได้มีโอกาสมาพบปะสนทนากับคุณเจียมจิตต์ เองที่เชียงใหม่เมื่อเร็วๆนี้ จึงได้ทราบว่าตัวคุณเจียมจิตต์เองได้ทำการวิจัย จนพบว่าสาหร่ายเกลียวทองที่เป็นสายพันธุ์ไทยก็มีและยังทดลองเลี้ยงเอง จนสามารถผลิตเป็นการค้าได้ในเมืองไทยนี่เอง
ประวัติบริษัท 20 ปี สาหร่ายเกลียวทอง
  วันนี้ย้อนไป 20 ปี บริษัท กรีนไดมอนด์ จำกัดได้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่13  กรกฎาคม พ.ศ.2532จากการนำผลการวิจัยการเพาะเลี้ยง สาหร่ายเกลียวทอง(Spirulina) ของ คุณเจียมจิตต์  บุญสม  ที่ทำไว้ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2526, 2529 และ 2532 มาทำให้เป็นรูปธรรม

Picture
โดยเริ่มสร้างบ่อเพาะเลี้ยงสาหร่ายเกลียวทองบ่อแรกขนาด 100 ตารางเมตรขึ้นที่จ.นนทบุรี และได้ขยายฟาร์มและโรงงานทั้งหมดมาที่ อำเภอแม่วาง  จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อปีพ.ศ.2535 ด้วยข้อจำกัดในเรื่องเงินทุน
Picture
Picture
คุณสมชาย บุญสม วิศวกรอดีตผู้อำนวยการโรงกรองน้ำบางเขน ได้ใช้เวลากว่า 10 ปี คิดค้นดัดแปลงและพัฒนาเครื่องมือเครื่องจักรในการเพาะเลี้ยงและแปรรูปจนเสร็จสมบูรณ์ และได้ขยายพื้นที่ในการเพาะเลี้ยงเพิ่มขึ้นจนถึงปัจจุบันเรามีเนื้อที่ในการผลิตกว่า 60,000 ตารางเมตร นับเป็น ฟาร์มเลี้ยงสาหร่ายเกลียวทองสายพันธ์ไทยที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
Picture
ผ่านไป 20 ปี ที่บริษัทมีความมุ่งมั่นที่จะผลิตสาหร่ายที่มีคุณภาพ เพื่อประโยชน์ของผู้บริโภคสูงสุด ส่งผลให้บริษัทฯ ได้รับ เกียรติบัตรรับรองมาตรฐานสากล ทั้งของ GMPและ HACCP อย่างโปร่งใส ผลิตภัณฑ์สาหร่ายเกลียวทองของบริษัทฯ ยังได้รับการคัดเลือกให้เป็นสินค้า OTOP ระดับ 5 ดาวของประเทศ และในปีพ.ศ.2551 บริษัทฯได้ผ่านการรับรองระบบมาตรฐานISO 22000 Version2005 เป็นรายแรกของโลกอีกด้วย
Picture
และจากการผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่ต่ำกว่า 20 ปี  ในวาระที่ย่างเข้าปีที่ 21 บริษัทฯ ขอประกาศให้สมาชิก และคนไทยได้ทราบว่า ฟาร์มสาหร่ายเกลียวทองของคนไทยไม่เป็นรองชาติใด และเป็นมรดกของคนไทย บุญสมฟาร์ม ที่อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหน้าเป็นตาของประเทศไทย โดยมีผู้คนเกือบทุกมุมโลกแวะมาเยี่ยมชม
Picture
จากประสบการณ์กว่า 20 ปี และจากความต้องการของผู้บริโภคที่มีมาก เราได้ขยายฟาร์มแห่งที่ 3 ขึ้นที่ ตำบลกฤษณา  อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ในเนื้อที่เกือบ 600 ไร่ เมื่อแล้วเสร็จจะเป็นฟาร์มสาหร่ายที่ใหญ่ที่สุดของทวีปเอเชีย
ย่างเข้าปีที่ 21ของความมีสุขภาพดีของผู้บริโภค สาหร่ายเกลียวทอง ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ผลิตภัณฑ์สาหร่ายเกลียวทองสายพันธุ์ไทยเป็นหนึ่งเดียวของอาหารเพื่อสุขภาพโดยแท้จริง

:: บุญสมฟาร์ม
สำนักงานใหญ่ : อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่

Picture
สาหร่ายเกลียวทอง (Spirulina) คืออะไร
สาหร่ายเกลียวทองเป็นสาหร่ายหลายเซลล์สี เขียวแกมน้ำเงินที่อุดมด้วยคุณค่าทางอาหาร เพียบพร้อมด้วยวิตามินและเกลือแร่ที่ร่างกายต้องการ ย่อยสลายและดูดซึมต่างๆของร่างกายสามารถนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว และไม่มีผลข้างเคียงเมื่อรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ
Picture
เป็นที่น่าทึ่งมากว่าสาหร่ายเกลียวทอง ประกอบด้วยสารอาหารหลากหลาย ที่ทรงคุณค่ามากกว่าเนื้อสัตว์ และพืชชนิด อื่น ๆ เปรียบเสมือนโรงงานผลิตอาหารของโลกเลยทีเดียว อันได้แก่

- มีโปรตีนสูงกว่าเนื้อ นม ไข่ ถึง 3 เท่า มีโปรตีนสูงถึง 60-70% โดยน้ำหนักแห้ง
- มีกรดอะมิโนที่เป็นส่วนประกอบของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายครบทั้ง 18 ชนิด
- อุดมด้วยวิตามิน B1 , B2 , B6 , B12,C,E และ H ซึ่ง B12 มีมากกว่าในตับถึง 250 %
- เบต้า แคโรทีน มีมากกว่าแครอทถึง 20 เท่า
- ธาตุเหล็ก มีมากกว่าอาหารชนิดอื่น ๆ ถึง 12 เท่า
- ซีลีเนียม, สังกะสี และธาตุอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย
- กรดแกมมาไลโนเลนิก ช่วยลดคลอเลสเตอรอลในเส้นเลือดมากถึง 170 เท่าของที่มีในน้ำมันพืช
- คลอโรฟิลล์ช่วยลดอาการอักเสบของบาดแผล และเสริมสมรรถภาพของตับ
- มี สารให้สีน้ำเงิน ที่เรียกว่า ไฟโคไซยานิน ที่มีอยู่แต่ในสาหร่ายเกลียวทองเท่านั้น และมีคุณสมบัติที่วงการแพทย์ให้ความสนใจ เม็ดสีนี้ได้พัฒนาตัวเองมาถึง 3,600 ล้านปี มีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระ และเพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย เป็นความหวังของผู้ป่วยที่เป็นมะเร็ง โรคเอดส์ และเป็นความหวังว่า จะเข้ามาแทนที่การใช้ยาปฏิชีวนะในคนได้ต่อไป
Picture

ผู้ใดที่ควรรับประทานสาหร่ายเกลียวทอง

สาหร่ายเกลียวทอง จัดว่าเป็นอาหารที่ปลอดภัย มีผู้บริโภคหลายสิบล้านคน ทุกเชื้อชาติศาสนา รับประทานเป็นอาหาร หรืออาการเสริมติดต่อกันมานานหลายศตวรรษ สาหร่ายเกลียวทองได้รับอนุญาตทางกฎหมาย ให้เป็นอาหารเสริมที่ผลิตจาก ธรรมชาติ(Natural Food Supplement) จากประเทศที่มี เทคโนโลยีสูงๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น มานานกว่า 20 ปี และมีการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ออกมาเรื่อย ๆ สาหร่ายเกลียวทอง เป็นอาหารธรรมชาติชนิดเดียวที่มีคุณค่ามากมาย ที่ร่างกายต้องการจึงเหมาะ สำหรับทุกเพศทุกวัยโดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ

อาการผิดปกติของร่างกายที่ทำให้เกิดโรคมีหลายอย่าง ซึ่งกว่า 90% ของการผิดปกตินั้น เกิดจากการรับประทานอาหารที่บกพร่อง ไม่เพียงพอ หรือไม่ถูกส่วน อย่างเป็นประจำ องค์การ สหประชาชาติได้เสนอแนะว่า ” สาหร่ายเกลียวทอง คืออาหารอุดมคติที่ดีที่สุดของของมนุษยชาติ” ดังนั้นจึงเป็นแหล่งอาหารที่เหมาะสำหรับทุกคน หรือ บุคคลดังนี้
  1. ผู้สูงอายุ
  2. ผู้ป่วยเบาหวาน
  3. นักกีฬา
  4. ผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติ
  5. ผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง
  6. ผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
  7. ผู้ที่มีปัญหาโรคกระเพาะ
  8. เด็ก ในวัยเจริญเติบโต
Picture
คุณประโยชน์ของสาหร่ายเกลียวทอง ของสาหร่ายได้มอบอะไร? ให้แก่เราบ้าง ? สารใดที่ได้รับไปในร่างกาย คุณสมบัติเหล่านี้ทำให้เราได้ประโยชน์เช่นไร?
Picture
สาหร่ายเกลียวทอง คือ โปรตีน ที่ประกอบด้วยกรดอะมิโนหลายชนิดในสัดส่วนที่เหมาะสม ในสาหร่ายเกลียวทองนั้น มีคุณค่าทางอาหารเหนือกว่าอาหารชนิดอื่น คือมีปริมาณโปรตีนถึงกว่า 65% ของน้ำหนักแห้ง ซึ่ง สูงกว่าปริมาณโปรตีนที่มีในเนื้อสัตว์หรือในไข่ถึง 3/2 เท่า ถือว่า สาหร่ายเกลียวทอง เป็นอาหารพิเศษที่ประกอบด้วยเนื้อโปรตีนแท้ๆ นอกจากนี้ยังประกอบด้วย คลอโรฟิลล์ และ ไฟโคไซยานิน จำนวนมาก มีโปรวิตามิน ซึ่งเป็นสารที่เปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ ซึ่งเป็น คุณสมบัติเฉพาะของสาหร่ายเกลียวทอง จะเห็นว่าสาหร่ายเกลียวทอง มีสีเขียวแกมน้ำเงิน และรวมไปถึงทั้งกรดอะมิโนที่ร่างกายต้องการ เราลองมาดูตารางเปรียบเทียบ สาหร่ายเกลียวทอง (แห้ง) เปรียบเทียบปริมาณ โปรตีน ปริมาณ โปรตีน สาหร่ายเกลียวทอง 60-71 % เนื้อวัว 18 – 20 % ไข่ 10 – 25 % ข้าวสาลี 6 – 10 % ข้าวเจ้า 7 % ถั่วเหลือง 33 – 35 % ปลาทู ปลาอินทรี 20 % นอกจากนั้น สาหร่ายเกลียวทอง ยังประกอบไปด้วย กรดอะมิโน ที่จำเป็นต่อร่างกาย ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ซึ่งในสาหร่ายเกลียวทอง มี กรดอะมิโน ทั้ง 18 ชนิด ที่ร่างกายต้องการดังนี้คือ

  1. ไอโซลิวซีน จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโต และพัฒนาการเรียนรู้ (IQ)
  2. ลิวซีน กระตุ้นการทำงานของสมอง เพิ่มกำลังให้กล้ามเนื้อ ช่วยให้เซลล์ประสาทแข็งแรงขึ้น
  3. ไลซีน ทำให้ระบบเส้นเลือดแดงแข็งแรง ควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์
  4. เมไทโอ นีน บำรุงรักษาตับ ต้านความเครียด ทำให้ประสาทผ่อนคลาย
  5. เฟนนิลอะลา นีน ใช้สร้างไทรอกซิน กระตุ้นกอัตราการย่อย และสลายอาหารเพื่อเป็นพลังงาน
  6. ทรี โอนีน ทำให้ลำไส้ทำงานดีขึ้นเพิ่มการดูดซึม
  7. แวลี ช่วยกระตุ้นความจำ
  8. อะ ลานีน ทำให้ผนังเซลล์แข็งแรง
  9. แอสพาร์ติก ช่วยเปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาล
  10. อาร์จินีน เป็นส่วนประกอบของน้ำเชื้อเพศชาย และช่วยในการกำจัดสารพิษ
  11. ทริพ โตเฟน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของวิตามินบี จิตใจเยือกเย็นสงบ
  12. กลูตา มิก นำกลูโคสเข้าสู่เซลล์สมอง ช่วยลดพิษอัลกอฮอล์ และช่วยทำให้มีสติ
  13. อีส ติตีน ช่วยให้การส่งผ่านความรู้สึกของระบบประสาทดีขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องหู
  14. ซี ลีน ช่วยในการสร้างเยื่อหุ้มรอบเส้นประสาท เพื่อป้องกันอันตรายในเส้นประสาท
  15. ซีสทีน บำรุงตับอ่อน ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด
  16. โปรตีน เป็นสารต้นตอของกลูตามิกแอซิด
  17. กลัยซีน เพิ่มพลังงานและการใช้ออกซิเจนของเซลล์
  18. ไทโรซีน ชะลอความแก่ของเซลล์
ในประเทศสหรัฐอเมริกายังไม่เคยมีการศึกษาทดลองใช้ สาหร่ายเกลียวทอง และศึกษาผลของสาหร่ายเกลียวทอง ที่มีต่อสุขภาพของมนุษย์ ถึงแม้จะเป็นที่ยอมรับมาเป็นเวลานานแล้วว่า สาหร่ายเกลียวทองมีคุณค่าทาง โภชนาการอย่างยิ่งก็ตามในทางกลับกัน แพทย์ชาวญี่ปุ่นและเม็กซิกันกลับให้ความสนใจ อย่างลึกซึ้งในการนำสาหร่ายเกลียวทอง ไปใช้เสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้แก่ มนุษย์

การศึกษาวิจัยส่วนใหญ่แสดงให้เห็นว่าสาหร่ายเกลียว ทองเป็นสิ่งที่ใช้เสริมการรักษาของแพทย์ และให้ผลดี โดยเฉพาะในกลุ่มคนไข้ที่มีภาวะทุพโภชนาการเรื้อรัง เป็นสาเหตุของ โรค อย่างไรก็ดี มีตัวอย่างบางกรณี ที่แสดงถึงความสามารถของสาหร่ายเกลียวทอง ในการทำให้เกิด การรักษาตนเอง ที่ทำให้เราทราบว่า มีเรื่องที่มนุษย์ยังไม่ล่วงรู้อีกมากมายเกี่ยวกับ คุณสมบัติต่างๆ ของสาหร่าย

ขณะนี้องค์การอาหารและยาได้จัดสาหร่ายเกลียวทองเป็น เพียงผักชนิดหนึ่งเป็นอาหาร เหมือนเช่นอาหารที่รับประทานทั่วไป ดังนั้นจึงไม่ควรที่จะแอบอ้าง สรรพคุณในการรักษาโรค แต่อาหารที่ดีก็เปรียบเสมือนยาวิเศษ สำหรับผู้ป่วยควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ ควบคู่ไปกับการใช้ยาแผนปัจจุบัน ซึ่งสาหร่ายเกลียวทองจะช่วยเสริมและขยายอำนาจ การรักษาของยา นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับผู้ที่มีสุขภาพดีอยู่แล้วเพื่อเป็น ปราการในการป้องกันโรค หรือผู้ที่มีสภาพต่างๆ ดังนี้ เช่น

  • เหนื่อยง่าย
  • เป็นหวัดง่าย
  • วิงเวียนศรีษะอยู่เสมอ
  • รู้สึกเจ็บถึงกระดูกเมื่อกดเนื้อเบาๆ
  • หญิงมีครรภ์ กินผัก
  • กินผักสีเขียวหรือผักสีเหลืองไม่เพียงพอ  - ไม่รับประทานอาหารเช้า
  • กำลังอดอาหารเพื่อลดความอ้วน
  • ชอบหรือไม่ชอบอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งอย่างรุนแรง
  • จนก่อให้เกิดอาการขาดสาร อาหาร
  • มีอาารท้องผูกเป็นประจำ
อาการผิดปกติในร่างกายที่ทำให้เกิด โรคนั้นมีหลายอย่าง และกว่า 90% ของอาการผิดปกตินั้น เกิดจากการรับประทานอาหารที่บกพร่องไม่เพียงพอหรือไม่ ถูกส่วน

Picture
กระบวนการผลิตสาหร่ายเกลียวทอง และขั้นตอนในการเพาะเลี้ยงสาหร่ายก่อนจะกลายเป็นสาหร่าย ” เกลียวทอง ” เป็นอย่างไร? กันนะค่ะ
Picture
ขั้นตอนการเพาะเลี้ยงสาหร่ายเกลียวทอง
นอกจากนั้น สาหร่ายเกลียวทอง ยังประกอบไปด้วย กรดอะมิโน ที่จำเป็นต่อร่างกาย ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ซึ่งในสาหร่ายเกลียวทอง มี กรดอะมิโน ทั้ง 18 ชนิด ที่ร่างกายต้องการดังนี้คือ
วัตถุดิบ
วัตถุดิบที่ใช้หลักคือ น้ำ น้ำแร่ ที่ใช้ในขั้นตอนการผลิตและบ่อเพาะเลี้ยง มาจากแหล่งน้ำแร่ที่ได้รับการ ตรวจ สอบและยอมรับจากการประปานครหลวงว่า เป็นน้ำสะอาดคุณภาพระดับน้ำดื่ม
แสงแดด
จากหนังสิอกล่าวไว้ว่าประเทศไทย เป็นประเทศที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเพาะ เลี้ยงสาหร่ายเกลียวทองเนื่องจากที่ตั้งของประเทศไทยนั้น อยู่ใกล้ เส้นศูนย์สูตรและมีอุณหภูมิ เฉลี่ยตลอดปีที่ 30 องศาเซลเซียส ในขณะที่ ระดับ อุณหภูมิเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของสาหร่าย อยู่ที่ 25-35 องศาเซลเซียส อากาศ บุญสมฟาร์มตั้งอยู่ ท่ามกลางขุนเขาของจังหวัดเชียงใหม่ เป็นพื้นที่ที่ปราศจาก มลภาวะ อากาศบริสุทธิ์ ทำให้สามารถผลิตสาหร่ายเกลียวทองที่มีความสะอาด บริสุทธิ์ แรงงานคน เป็นชาวบ้านในอำเภอแม่วาง ที่ได้รับการอบรมมาอย่างดีด้านมาตรฐานการ ผลิต ความสะอาด ระเบียบวินัย ปุ๋ยที่ใช้ เป็นปุ๋ยชนิด Food grade ซึ่งมีความจำเป็นต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
การเพาะเลี้ยงในห้องแลบ
เรียกว่าการเพาะเลี้ยงแบบ Monoculture โดยเริ่มจากการเขี่ยเชื้อสาหร่ายเกลียวทอง ลงสู่หลอดทดลองและเลี้ยงในน้ำธาตุ อาหารตามสูตรที่เหมาะสมที่ผ่านการคิดค้น และทดลองมานานนับสิบปีของบุญสมฟาร์ม (สาหร่ายจะมีการเจริญเติบโตโดยการหักเป็นสองท่อน) เมื่อสาหร่ายมีความเข้มข้นมากพอก็จะขยายต่อไป
การขยายเชื้อ
จะทำการขายเชื้อเมื่อสาหร่ายมีความเข้มข้น ในปริมาณที่กำหนด โดยจากหลอดทดลอง ขยายเชื้อสาหร่ายเกลียวทองใส่ Flaskลงสู่ขวด 450 ซีซี – ถุงพลาสติก – ถังขนาด 2.5 แกลลอน – ถังขนาด 10 แกลลอน – ถัง 450 ลิตร โดยให้มีการติดตามผลการตรวจวัดค่า pH, ค่า OD และความเค็มของน้ำ เพื่อป้องการการปนเปื้อนของสาหร่ายชนิดอื่นๆ ให้เป็นไปตามมาตรฐานทุกวัน
การเพาะเลี้ยง
หลังจากสาหร่ายในถัง 450 ลิตรมีความเข้มข้นพอแล้วก็จะทำการขยายเชื้อ สู่บ่ออนุบาลขนาด 10 ตารางเมตร แล้วขยายต่อสู่บ่อขนาด 100 ตารางเมตร แล้วจึงขยายสู่บ่อขนาด 500 – 1,000 ตารางเมตรในที่สุด ในระหว่างการเลี้ยงในบ่อ จะต้องดูแลความสะอาดของบ่อเพาะเลี้ยง เช่น การดักตะกอน, หยากไย่, ตัดฟองอากาศรวมถึงการดูแลบริเวณรอบๆ พนักงานที่ได้รับการฝึกอบรมดูแลประจำบ่อ เพื่อความสะอาดและความปลอดภัยสูงสุดของผู้บริโภค
การเก็บเกี่ยว
เมื่อสาหร่ายในบ่อมีความเข้มข้นพอแล้วโดยวัดจากค่า OD ตั้งแต่ 0.6 ขึ้นไป จะต้องมีการเก็บเกี่ยวโดยใช้ผ้ากรองตาถี่ ขนาด 30.46 และ 80 ไมครอน ตามความเหมาะสม เก็บเฉพาะเนื้อสาหร่าย ส่วนน้ำปุ๋ยจะกลับคืนสู่บ่อเพื่อใช้ในการเพาะเลี้ยงต่อไป สาหร่ายที่ได้จะนำไปล้างจนสะอาด โดยวัดจากค่าความเค็มได้เท่ากับศูนย์ แล้วนำไปปั่นหมาด (เครื่องปั่นหมาดคิดค้นโดยคุณสมชาย บุญสมดัดแปลงจากเครื่องซักผ้า) แล้วรีดให้เป็นแผ่นสู่ถาดรองรีดแล้วนำเข้าตู้อบ โดยควบคุมอุณหภูมิในการอบที่ 70±5องศาเซลเซียสใช้เวลาในการอบประมาณ 8-12 ชั่วโมง (ทำการตรวจวัดค่าความชื้นไม่เกิน 5%) โดยในการอบสาหร่ายนี้ จะใช้เตาอบค่อยๆไล่ความชื้นออกจากสาหร่ายเกลียวทอง เพื่อรักษาสารอาหารของสาหร่ายเกลียวทอง ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายไว้อย่าง สูงสุด
การแปรรูปผลิตภัณฑ์
หลังจากสาหร่ายผ่านการอบแห้งแล้ว จะได้เป็นสาหร่ายเกล็ดซึ่งต้องเก็บรักษาไว้ในห้องเย็น เมื่อต้องการใช้ ก็จะทำการเบิกสาหร่ายจากห้องเย็น มาทำการบดสาหร่ายให้เป็นผง เพื่อส่งเข้าสู่กระบวนการตรวจจับโลหะ ตอกเม็ด และบรรจุเข้าแคปซูล แล้วจึงบรรจุลงขวด ใส่ซิลิก้าเจล วัสดุกันกระแทก(สำหรับชนิดอัดเม็ด) ปิดฝา ติดฉลาก อบฟิล์มและบรรจุกล่องเป็นอันดับสุดท้าย โดยทุกขั้นตอนในการผลิต ตั้งแต่การเลี้ยงเชื้อในหลอดทดลอง จนกระทั่งเป็น ผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายนี้ จะถูกควบคุมด้วยระบบมาตรฐาน ISO22000, GMP, HACCP เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคอย่างเคร่งครัด ขั้นตอนในการผลิต ทั้งหมดคือ หัวใจสำคัญของการเกิด ผลิตภัณฑ์ ที่มีชื่อว่า ” สาหร่ายเกลียวทอง ” ที่ใส่ใจในคุณภาพสินค้า ทั้งออกมาในรูปอัดเม็ด และ ชนิดแคปซูล ผง และชนิดสด ผ่านกรรมวิธีที่ถูกต้องสะอาดปลอดภัย ….. อย่างแน่นอน

คุณค่าสารอาหารที่ได้จากสาหร่ายเกลียวทอง จากปริมณ 100 กรัมของน้ำหนักแห้ง

คุณค่าสารอาหารที่ได้จากสาหร่ายเกลียวทอง จากปริมณ 100 กรัมของน้ำหนักแห้ง

สารอาหาร   แร่ธาตุ  
โปรตีน 63% แคลเซียม 76 mg
คาร์โบไฮเดรต 18% เหล็ก 35 mg
ไขมัน 5% แมกนิเซียม 208 mg
เถ้า 9% โซเดียม 554 mg
ความชื้น 5% โปแตสเซียม 1735.9 mg
    ฟอสฟอรัส 167.2 mg
วิตามิน   สังกะสี 1.16 mg
เบต้าแคโรทีน 4,400 IU แมงกานีส 2.25 mg
วิตามิน  C 31.1 mg ทองแดง 120 mcg
วิตามิน  E 19.2 IU โครเมี่ยม 25 mcg
วิตามิน  B1 0.31 mg    
วิตามิน  B2 3.25 mg สารให้สี  
วิตามิน  B5 1.46 mg ไฟโตไซยานิน 1500 mg
วิตามิน  B6 0.58 mg/l คลอโรฟิลล์ 115 mg
วิตามิน  B12 32 mcg คาโรทีนอยต์ 28 mg
โฟลิค 0.23 mg    
ไบโอนิค 23.2 mcg กรดไขมันจำเป็น  
กรดแพนโทเทนิก 0.13 mg กรดแกมม่าไบโนเลนิก 135 mg
อิโนซิทอล 125 mg ไกลโคไลปิด 200 mg
นิโคตินิค 10.4 mg ซัลโฟไลปิด 10 mg
Picture

โปรตีนในสาหร่ายเกลียวทอง มีกรดอะมิโนครบทั้ง 18 ชนิด ที่ร่างกายต้องการดังนี้

1.ไอโซลิวซิน จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตและพัฒนาการเรียนรู้ (IQ)
2.ลิวซีน กระตุ้นการทำงานของสมอง
เพิ่มกำลังให้กล้ามเนื้อ
3.ไลซีน ทำให้ระบบเส้นเลือดแข็งแรง
ควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์
4.เมทไทโอนิน บำรุงรักษาตับ
ต้านความเครียด ทำให้ประสาทผ่อนคลาย
5.เฟนนิลอะลานีน ใช้สร้างไทรอกซิน กระตุ้นอัตราการย่อยและสลายสารอาหารเพื่อเป็นพลังงาน
6.ทริโอนีน ทำให้ลำไส้ทำงานดีขึ้น เพิ่มการดูดซึม
7.แวลีน กระตุ้นความจำ
8.อะลานีน ทำให้ผนังเซลล์แข็งแรง
9.แอสพาร์ติก ช่วยเปลี่ยนแป้งให้เป็นพลังงาน
10.อาร์จินีน เป็นส่วนประกอบของน้ำเชื้อเพศชาย
ช่วยกำจัดสารพิษในอาหาร
11.ทริปโตเฟน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของวิตามินบี
ช่วยให้เซลล์ประสาทแข็งแรง จิตใจเยือกเย็น สงบ
12.กลูตามิก นำกลูโคสเข้าสู่เซลล์สมอง
ช่วยลดพิษ แอลกอฮอล์ และช่วยทำให้มีสติ
13.อิสติดีน ช่วยให้การส่งผ่านความรู้สึกของระบบประสาทดีขึ้นโดยเฉพาะในเรื่องหู
14.ซีลีน ช่วยในการสร้างเยื่อหุ้มรอบเส้นประสาทเพื่อป้องกันอันตรายในเส้นประสาท
15.ซีสทีน บำรุงตับอ่อน
ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด
16.โปรลีน เป็นสารต้นตอของกลูตามิกเอซิด
17.ไกลซีน เพิ่มพลังงานและการใช้ออกซิเจนของเซลล?
18.ไทโรซีน ชะลอความแก่ของเซลล์

ดังนั้นสาหร่ายเกลียวทอง… จึงเหมาะสำหรับ
1.บุคคลที่อยู่ในวัยเจริญเติบโตและต้องการบำรุงสมอง
2.ผู้สูงอายุที่ต้องการบำรุงร่างกายให้แข็งแรง
3.สตรีมีครรภ์และหลังคลอด
4.ผู้ป่วยในระยะพักฟื้น และหลังผ่าตัด
5.บุคคลที่ทำงานหนัก เครียด อ่อนเพลีย และนอนไม่หลับ
6.ท่านที่ต้องการลดน้ำหนัก (ทานก่อนอาหาร 30 นาที)
7.ท่านที่รับประทาน เจ มังสวิรัติ
8.นักกีฬาทุกประเภท
9.ท่านที่ดื่มสุรา
10.ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
11.ท่านที่ต้องการบำรุงสมรรถภาพทางเพศ
12.ท่านที่ไม่รับประทานอาหารเช้า
13.ท่านที่มีปัญหาผมร่วง ต้องการสร้างเส้นผมให้แข็งแรง
14.ท่านที่ต้องการให้ร่างกายได้สารอาหารครบถ้วน

ทำไมต้องทานสาหร่ายเกลียวทอง
                ผู้คนมักไม่รู้ว่าอาหารที่รับประทานในแต่ละวันตัวมีสารอาหารไม่ครบ 5 หมู่ จึงเป็นที่มาของอาหารเสริมประเภทต่างๆ แต่ก็มักจะไม่ครบถ้วนหรือไม่เหมาะสมตามที่ร่างกายต้องการต่างจากสาหร่ายเกลียวทองที่เป็นอาหารเสริมที่มีสารอาหารที่ร่างกายต้องการครบทั้ง 5 หมู่ ในปริมาณที่เหมาะสม สาหร่ายเกลียวทองจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของผู้ที่ต้องการเลือกอาหารเสริมสุขภาพ ที่ครบถ้วนและเหมาะสมต่อร่างกาย

ผลด้านการต้านมะเร็ง
                งานศึกษาวิจัยจำนวนมากแสดงว่าสาหร่ายเกลียวหรือสารสกัดจากสาหร่ายเกลียวสามารถป้องกันหรือยับยั้งมะเร็งในมนุษย์และสัตว์ มีความเชื่อว่ามะเร็งบางชนิดเป็นผลมาจากเซลล์ที่ DNA ถูกทำลายแล้วไปทำร้ายเซลล์อื่นๆ ทำให้ไม่สามารถควบคุมการเจริญของเซลล์ได้ นักชีววิทยาด้านเซลล์ได้ค้นพบว่ามีเอนไซม์ชื่อ Endonuclease มีหน้าที่ซ่อมแซม DNA ที่เสียหายจึงไม่ได้รับการซ่อมแซม และทำให้อาจเกิดเป็นมะเร็งขึ้นได้ จากผลการศึกษาในห้องทดลองพบว่า Polysaccharide ของสาหร่ายเกลียวทองเท่านั้นที่ช่วยให้การซ่อมแซม DNA ของเอนไซม์ตัวนี้ทำได้ดียิ่งขึ้น นี้คงเป็นเหตุผลที่อธิบายได้ว่าเหตุใดงานวิจัยหลายชิ้นในผู้ที่สูบบุหรี่และการทดลองเกี่ยวกับมะเร็งในสัตว์ทดลอง จึงสามารถหยุดยั้งเซลล์มะเร็งที่ร้ายแรงหลายชนิดได้ในระดับสูง

การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
                สาหร่ายเกลียวทองเป็นสารบำรุงระบบภูมิคุ้มกันที่มีประสิทธิภาพ การศึกษาวิจัยในหนู หนูแฮมสเตอร์ ไก่ ไก่งวง และปลา ยืนยันว่าสาหร่ายเกลียวทองช่วยปรับปรุงการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์พบว่า สาหร่ายเกลียวทองสาหร่ายเกลียวทองไม่เพียงแต่กระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเท่านั้น แต่ยังเพิ่มขีดความสามารถของร่างกายในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดให้เพิ่มขึ้นด้วย

คุณประโยชน์ของสาหร่ายเกลียวทอง
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกันแก่ร่างกาย
- ช่วยควบคุมปริมาณและความหนาแน่นของเม็ดเลือดแดง ทำให้ ลดอาการ ของโรคโลหิตจาง – ช่วยคลายความอ่อนเพลีย
- เร่งประสิทธิภาพการทำงานของเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย
- ช่วยบำรุงเลือดและสร้างเม็ดเลือดใหม่ให้กับร่างกาย
- ช่วยยับยั้งผมร่วงได้ ช่วยกระตุ้นการงอกของเส้นผม และช่วยให้
  เส้นเนื่องจากให้สารอาหารกับรากผมทำให้เม็ดสีเพิ่มขึ้น และผมดำ ขึ้น
- หน้าที่ของคลอโรฟิลล์ซึ่งมีอยู่มากมายในสาหร่ายสไปรูลิน่าประสิทธิภาพของคลอโรฟิลล์ในการรักษาโรค คลอโรฟิลล์มีผล ทางการเร่งประสิทธิภาพการทำงานของเนื้อเยื่อและอวัยวะต่าง ๆในร่างกายให้สูงขึ้น  
- มีผลต่อกล้ามเนื้อหัวใจ  คือ  การหดตัวของกล้ามเนื้อหัวใจดีขึ้น เพราะระยะการคลายตัวนานขึ้น 
- ช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น  เพราะช่วยกระตุ้นการบีบรูดของลำไส้ 
- จะช่วยขัดขวางการเป็นอัมพาตของปอดอันเนื่องจากยาเสพติด
- ช่วยให้การบีบรัดของกล้ามเนื้อมดลูกแรงขึ้นซึ่งเป็นผลดีต่อการคลอด
- ช่วยส่งเสริมการงอกใหม่ของเซลล์
- กระตุ้นอวัยวะที่ช่วยสร้างเลือดคล้ายกับธาตุเหล็ก
- ดูดความชื้น  ซึ่งช่วยทำให้แผลแห้งเร็ว
- ช่วยทำให้บาดแผลเปื่อยในกระเพาะอาหารและการอักเสบของทางเดินอาหารดีขึ้น

สรุปรายงานการวิจัย/ผลการทดลองเกี่ยวกับสาหร่ายสไปรูลิน่า(สาหร่ายเกลียวทอง) จากคณแพทย์ญี่ปุ่น

อ้างอิงจาก The Secrets of Spirulina Medial Discoveries of Japanese Doctor
Edited by Christophe Hills, Ph.D., D.Sc.
(งานแปลอันดับที่ 105 ของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติสาขาเกษตรศาสตร์และชีววิทยา)
 

คณะผู้วิจัย

หัวข้อการวิจัย

วิธีการวิจัย/ทดลอง

ผลการวิจัย/ทดลอง

1.ดร.ทาคายา ทากิวชิ พีเอช.ดี เอ็ม.ดี มหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์และทันตแพทย์ศาสตร์แห่งชาติโตเกียว xu 1977 สาหร่ายสไปรูลิน่ากับการลดระดับน้ำตาลในเลือด จ่ายสาหร่ายสไปรูลิน่าให้ผูป่วยโรคเบาหวานที่มีอาการค่อนข้างหนัก โดยรับประทานสาหร่ายสไปรูลิน่ามื้อละ 7 เม็ด หลังอาหาร 3 มื้อควบคู่กับการควบคุมอาหารอย่างเข้มงวดเป็นเวลา 60 วัน ผู้ป่วยเกือบทุกรายมีระดับน้ำตาลในเลือดลดลง และบางรายระดับน้ำตาลในเลือดกลับเข้าสู่ระดับปกติ
2.มิโนรุ ทานากะ วิทยาลัยแพทย์ศาสตร์เกียวโต สาหร่ายสไปรูลิน่ากับการรักษาโรคตับอ่อนเรื้อรัง จ่ายสาหร่ายสไปรูลิน่าให้กับผู้ป่วยโรคตับอ่อนอักเสบจำนวน 2 ราย โดยรายแรกมีอาการอาเจียน ปวดท้องส่วนบน และท้องเสียติดต่อกันเป็นเวลา 1 ปี ส่วนรายที่ 2 มีอาการปวดท้องส่วนบนมาก อาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วย และมีอาการปวดหลังร่วมด้วยอย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 ครั้ง รักษาโดยให้รับประทานวันละ 21 เม็ด ผู้ป่วยทั้งสองรายมีอาการดีขึ้น โดยรายแรกอาการท้องเสียลดลงภายใน 2 อาทิตย์และอาการอาเจียนหมดไปในตอนปลายสัปดาห์ที่ 5 ส่วนผู้ป่วยรายที่ 2 อาการปวดท้องคลายลงภายใน 3 อาทิตย์เหลือเพียงอาการกดหน่วงๆ และ6 อาทิตย์ต่อมา อาการกดหน่วงๆในท้องก็หายไป
3.โยชิโดะ ยามาซากิ เอ็ม.ดี วิทยาลัยแพทย์ศาตร์และทันตแพทย์ศาสตร์โตเกียว ผู้อำนวยการสถานพยาบาลโรคตา คาซูโอะ ยามาซากิ สาหร่ายสไปรูลิน่ากับการรักษาโรคตา จ่ายสาหร่ายสไปรูลิน่าร่วมกับยารักษาโรคตาให้กับผู้ป่วย เช่น ต้อกระจก การตกเลือดที่เยื่อเรติน่า เป็นต้น โดยรับประทานมื้อละ 10 เม็ดหลังอาหารเช้า-เย็น และในกรณีที่เป็นมากให้รับประทานมื้อละ 10 เม็ดหลังอาหาร 3 มื้อ ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น 90% จากจำนวนผู้ป่วย 480 รายโดยที่ผู้ป่วยมีสายตาดีขึ้น ความดันโลหิตและอาการเส้นเลือดฝอยตีบในเรติน่าลดลง
4.Dr. Seshadri แห่งศูนย์วิจัย Marugap Chethar เมืองมัดราล อินเดีย สาหร่ายสไปรูลิน่ากับการรักษาโรคตา จ่ายสาหร่ายสไปรูลิน่าแก่เด็กก่อนวัยเรียนที่เป็นโรคตาเกล็ดกระดี่ จากการขาดวิตามินเอ จำนวน 5,000คน เป็นเวลา 1 ปี เด็กเหล่านี้มีอาการเกล็ดกระดี่ลดลงจาก 80% เหลือเพียง 10% ของจำนวนเด็กที่เป็นโรคนี้ทั้งหมด
5.ดร.ไอวาโอะ ทานาเบะ นักจิตวิทยาและแพทย์ฝึกหัดสถานพยาบาลเดเนนโซฟู สาหร่ายสไปรูลิน่ากับการรักษาโรคผมร่วง จ่ายสาหร่ายสไปรูลิน่าให้กับผู้ป่วยรับประทานวันละ 6 เม็ด สัปดาห์ที่9 อาการของโรคดีขึ้น และสัปดาห์ที่ 10 ผมอ่อนในส่วนที่ล้านเริ่มดำขึ้น
6.ศ.ดร.โตโมกิชิ ซาไก แพทย์ฝึกหัดและนักสริรวิทยา มหาวิทยาลัยญี่ปุ่นตะวันออก สาหร่ายสไปรูลิน่ากับการรักษาโรคระบบทางเดินอาหารและโรคกระเพาะอาหาร จ่ายสาหร่ายสไปรูลิน่าให้กับผู้ป่วยที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบจำนวน 5 รายโดยรับประทานมื้อละ 5 เม็ดพร้อมอาหาร วันละ 3 มื้อ ผู้ป่วยเกือบทุกรายหายจากการปวดท้อง
7.โนโบสุ อิจิมา ศาสตราจารย์ในโรงพยาบาลแห่งวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์เซนต์แมรี่แอนน์ สาหร่ายสไปรูลิน่ากับการขจัดแอลกอฮอล์ในร่างกาย ให้กลุ่มผู้ทดลองรับประทานสาหร่ายสไปรูลิน่าประมาณ 4-5 เม็ดก่อนการดื่มสุรา กลุ่มผู้ทดลองไม่มีอาการเมาค้างหลงเหลืออยู่เลย
8.ประเทศญี่ปุ่น สาหร่ายสไปรูลิน่ากับการแก้ไขภาวะโลหิตจาง จ่ายสาหร่ายสไปรูลิน่าให้กับผู้ป่วยเพศหญิงจำนวน 8รายที่ที่มีปริมาณเลือดแดงน้อยกว่าปกติ รับประทานมื้อละ 8 เม็ดหลังอาหาร 3 มื้อ เป็นเวลา 30 วัน ผู้ป่วยทุกรายมีปริมาณเม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้นจาก 10.9 เป็น 13.2 ซึ่งอยู่ในระดับปกติ
9.ดร.คริสโตเฟอร์ ฮิลส์ พีเอช.ดี.แห่ง The university of the trees ความปลอดภัยของสาหร่ายสไปรูลิน่า ดร.ฮิลส์ และลูกศิษย์จำนวน 50 คน ได้ทำการลดอาหาร โดยรับประทานสาหร่ายสไปรูลิน่าเพียงอย่างเดียวเป็นเวลา 30 วันถึง 107 วัน ทั้งดร.ฮิลส์ และลูกศิษย์ไม่ปรากฏอาการข้างเคียงแต่อย่างใดเลย
10.โทรุ มัทซุย นักปราชญ์ชาวญี่ปุ่น ความปลอดภัยของสาหร่ายสไปรูลิน่า โทรุ มัทซุย ไม่รับประทานอาหารอื่นใดเลยนอกจากสาหร่ายสไปรูลิน่าและสาหร่ายอื่นบ้างเป็นเวลาถึง 15 ปี โทรุ มัทซุย สามารถมีชีวิตอยู่ได้ โดยไม่มีอาการผลข้างเคียงแต่อย่างใด